
annotating the internet
archivebay
Latest

ผู้จัดการทีม ระดับท็อป ของ ตารางบอล มีการ วิเค
Are you over 18 and want to see adult content?
Text
Skip to content
ผู้จัดการทีม ระดับท็อป
ของ ตารางบอล มีการ
วิเคราะห์บอล ทีเด็ด
ดูบอลอย่างไร
มูรินโญ่ นำหน้า Arsenal และ พา
Chelsea กับ Tottenham Hotspur
ขึ้นสู่รระดับท็อปของ
ตารางบอลพรีเมียร์ลีก
โดยใช้การ วิเคราะห์บอล
หา ทีเด็ด ดูบอลอย่างไร
FC PORTO ในยุครุ่งเรืองกับ
มูรินโญ่
FC PORTO ถือว่าเป็น 1 ใน 3
ทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศโปรตุเกสร่วมกับเบนฟิก้า
และ สปอร์ติ้ง ลิสบอน
ซึ่งจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาพวกเขาเป็นทีมอันดับ
2 ที่คว้าแชมป์พริเมร่า
ลีก้าของโปรตุเกสได้มากที่สุด
โดยเป็นรองเบนฟิก้าเพียงทีมเดียวเท่านั้น
โดยในช่วง 10
ที่ผ่านมาเป็นเบนฟิก้าที่ประสบความสำเร็จได้มากกว่า
เพราะเป็นช่วงที่เอฟซี
ปอร์โต้กำลังหลงทางในการบริหารงานพอดี
ซึ่งปอร์โต้เป็นทีมที่ทำเงินได้อย่างมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา
เพราะพวกเขาไปเน้นในเรื่องของการทำธุรกิจขายนักเตะเป็นหลัก
ทำให้ทีมไม่ประสบความสำเร็จ
ซึ่งพวกเขามีแมวมองในการหานักเตะที่ยอดเยี่ยมในแถบอเมริกาใต้
ทำให้พวกเขาคว้านักเตะดาวรุ่งเข้ามาเสริมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม
และนำมาใช้งานจนโดดเด่น
และขายออกไปยังต่างแดน
ซึ่งทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างมหาศาลทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็น
* ราดาเมล ฟัลเกา
กองหน้าทีมชาติโคลอมเบียที่ขายให้กับแอตเลติโก
มาดริดในปี 2011
* ฮัล์ค
กองหน้าชาวบราซิเลี่ยนที่ขายให้กับเซนิต
เซนต์
ปีเตอร์สเบิร์กในรัสเซียในปี
2012
* ฮาเมส โรดริเกซ
เพลย์เมคเกอร์ทีมชาติโคลอมเบียให้กับโมนาโกในปี
2013
* เอแดร์ มิลิตา
กองหลังดาวรุ่งให้กับเรอัล
มาดริด
ซึ่งทำเงินให้กับทีมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
แต่พวกเขาก็ต้องเสียแชมป์ให้กับเบนฟิก้าไปหลายปีด้วยในช่วงที่ผ่านมา
ซึ่งปอร์โต้คงต้องหาความสมดุลย์ในเรื่องนี้ให้เจอ
แต่เอฟซี
ปอร์โต้ถือว่ามียุครุ่งเรืองที่สุดคือในฤดูกาล
2003-2004 นั่นเอง
ซึ่งตอนนั้นพวกเขามี
โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม
ซึ่งตอนนั้นมูรินโญ่ยังเป็นกุนซือโนเนมที่ไม่ได้มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลยุโรปด้วยซ้ำ
เพราะก่อนหน้านี้เขาก็ล้มเหลวในการคุมทีมอื่นๆ
มาก่อน จนกระทั่งฤดูกาล
2002-2003
เขามาพาปอร์โต้คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จในปีนั้น
ซึ่งถือว่าเป็นแชมป์แรกของเขาในฐานะกุนซือด้วย
ซึ่งฤดูกาลต่อมาเขามาต่อยอดได้สำเร็จในการพาทีมคว้าแชมป์พริเมร่า
ลีก้าได้อีก 1 สมัย
ซึ่งพวกเขานำโด่งจนเป็นแชมป์ลีกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
โดยเก็บไปได้ 82 คะแนนจาก 34
นัด และแพ้ไปเพียงแค่ 2
นัดเท่านั้น
จนกลายเป็นแชมป์ในที่สุด
และที่สำคัญคือในศึกยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์ ลีก
ซึ่งปอร์โต้ไปสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก
ด้วยการก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปในฤดูกาลนั้นได้อย่างเหลือเชื่อ
โดยในรอบแบ่งกลุ่มนั้นพวกเขาผ่านเข้าไปเป็นอันดับ
2 ของกลุ่มได้สำเร็จ
และในรอบ 16
ทีมสุดท้ายพวกเขาต้องไปเจอของแข็งอย่าง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ซึ่งเป็นทีมแกร่งของอังกฤษในเวลานั้น
แต่โชเซ่
มูรินโญ่ก็พาทีมผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ
ซึ่งหากใครจำกันได้ก็คือนัดที่
2 ที่ปอร์โต้ตามตีเสมอทีม
“ปีศาจแดง” ได้สำเร็จ 1-1
จากคอสตินญ่า
กองกลางของทีม ที่ทำให้
โชเซ่ มูรินโญ่
วิ่งเข้าอุโมงค์ที่โอลด์
แทรฟฟอร์ดไปด้วยความดีใจ
และมั่นใจมากว่าทีมของเขาจะเอาชนะได้สำเร็จ
ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ผ่านเข้ารอบได้จริง
และในรอบ 8
ทีมสุดท้ายพวกเขาก็เอาชนะ
โอลิมปิก ลียง
ทีมดังของฝรั่งเศสได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
FC Porto
ก่อนที่ในรอบรองชนะเลิศพวกเขาจะเข้าไปพบกับเดปอร์ติโบ
ลา กอรุนญ่า
ทีมแกร่งของสเปนในยุคนั้น
ซึ่งสุดท้ายปอร์โต้ก็เอาชนะได้ในนัดที่
2 จากจุดโทษของดาร์เล่
ทำให้พวกเขาพลิกล็อคเข้าชิงชนะเลิศ
และที่สำคัญพวกเขาได้เข้าไปพบกับโมนาโก
ทีมม้ามืดจากฝรั่งเศสที่มีดิดิเย่ร์
เดช็องส์คุมทีมในตอนนั้น
ซึ่งพวกเขาก็สามารถพลิกล็อคเอาชนะเรอัล
มาดริดมาได้เช่นกัน
ทำให้เป็นการชิงชนะเลิศกันของ
2 ทีมม้ามืดในฤดูกาลนั้น
> สุดท้ายก็เป็น เอฟซี
> ปอร์โต้
> ที่ถล่มโมนาโกไปได้อย่างราบคาบ
> 3-0
> คว้าแชมป์ถ้วยใบใหญ่ของยุโรปเป็นสมัยที่
> 2 ของสโมสรได้สำเร็จ
นักเตะชุดแชมป์ของเอฟซี
ปอร์โต้ในยุคนั้นถือว่าก้าวขึ้นมาโด่งดังหลังจากนั้นได้หลายคน
ไม่ว่าจะเป็น
* ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่
ที่ก็ได้ย้ายตามไปอยู่กับโชเซ่
มูรินโญ่ที่เชลซีในฤดูกาลต่อมา
* เปาโล แฟร์ไรร่า
แบ็คขวาของทีมซึ่งก็ย้ายไปเชลซีด้วย
* อันแดร์สัน เดโก้
เพลย์เมคเกอร์ของทีม
* มานิช ริเบโร่
กองกลางตัวเด่นที่ก็ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติโปรตุเกสในชุดทำศึกยูโร
2004
* คาร์ลอส อัลแบร์โต้
ปีกดาวรุ่งชาวบราซิเลี่ยนด้วย
แต่ดาวเตะรายนี้เหมือนจะโดดเด่นอยู่แค่ปีเดียวเท่านั้น
เพราะหลังจากนั้นเขาก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย
* วิเตอร์ บาญ่า
นายประตูมือ
1 ของทีมชาติโปรตุเกส
* เบ็นนี่ แม็คคาร์ธี่
กองหน้าทีมชาติแอฟริกาใต้
* ฮูโก้ อัลเมด้า
กองหน้าทีมชาติโปรตุเกส
* เปโดร เมนเดส และโชเซ่
โบซิงวา 2
ดาวเตะที่ก็ได้ย้ายมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกในเวลาต่อมาด้วย
ซึ่งในเวลานี้ ฤดูกาล 20/21
โชเซ่ มูรินโญ่
ได้เข้ามาคุมทีม Tottenham Hotspur
ความสำเร็จที่
_มูรินโญ่_ เคยทำให้กับ FC PORTO
นั้น จะสามารถทำให้ โชเซ่
มูรินโญ่ พา Tottenham Hotspur
ไปพบกับความสำเร็จแบบ
ปอร์ดต้ได้หรือไม่ต้องมาติดตามกันต่อไป
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inกุนซือ
,
ผู้จัดการทีม
,
มูรินโญ่
Tags:
FC Porto ,
มูรินโญ่
,
ราดาเมล ฟัลเกา
,
สปอร์ติ้ง ลิสบอน
,
ฮัล์ค
,
ฮาเมส โรดริเกซ
,
เบนฟิก้า
,
เอฟซี ปอร์โต้
,
เอแดร์ มิลิตา
,
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
,
โชเซ่ มูรินโญ่
,
โอลิมปิก ลียง
Leave
a comment on FC Porto
ในยุครุ่งเรืองกับ
มูรินโญ่
TOTTENHAM HOTSPUR
เส้นทางสู่การเป็นท็อป 6
ของลีก
ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในช่วงต้นยุคปี
2000 นั้นมีเพียง 4
ทีมเท่านั้นที่ถูกมองว่าเป็นทีมยักษ์ใหญ่ของลีกที่จบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมหัวตารางของพรีเมียร์ลีก
โดยถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มบิ๊กโฟร์
ซึ่งประกอบไปด้วย MANCHEDTER UNITED,
LIVERPOOL, ASENAL
และ CHELSEA นั่นเอง
แต่ในปัจจุบันนี้พรีเมียร์ลีกกลายเป็นลีกที่มีทีมยักษ์ใหญ่ถึง
6
ทีมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยมี MANCHESTER CITY และ TOTTENHAM HOTSPUR
เข้าไปด้วย
โดยทั้งหมดถูกเรียกว่ากลุ่มบิ๊ก
6
และมีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ด้วย
เพราะเป็นลีกที่มีการแข่งขันกันสูงที่สุดของบรรดาลีกต่างๆ
ในยุโรปเลยด้วย ซึ่ง 2
ทีมล่าสุดที่ถูกเพิ่มเข้ามานั้น
ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงหลังมานี้
โดยทีม “เรือใบสีฟ้า”
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
นั้นเป็นทีมที่มีเจ้าของเป็นมหาเศรษฐีที่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรในปี
2008
ทำให้หลังจากนั้นมาพวกเขากลายเป็นทีมที่ทุ่มเงินเสริมทัพอย่างมหาศาล
จนทำให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จถึง
4 สมัยในช่วงที่ผ่านมา แต่
ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ที่มีดาเนี่ยล
เลวี่เป็นประธานสโมสรนั้นไม่ได้ใช้เงินซื้อความสำเร็จแบบนั้น
แต่พวกเขาค่อยๆ
สร้างทีมขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
กว่าจะมาเป็นหนึ่งในบิ๊ก
6
ของพรีเมียร์ลีกในเวลานี้
ก่อนหน้านี้ทีม
“ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม
ฮ็อตสเปอร์เป็นทีมที่อยู่ในระดับกลางตารางของพรีเมียร์ลีกเท่านั้น
แต่หลังจากที่ทีมมีแฮร์รี่
เร็ดแน็ปป์เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในปี
2008
ก็ทำให้ทีมมีผลงานที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งก่อนที่เขาจะมาคุมทีม
สเปอร์ก็พึ่งจะประสบความสำเร็จในการเป็นแชมป์ลีก
คัพในปี 2008 ด้วย ในยุคที่มี
ฆวนเด้ รามอส
กุนซือชาวสเปนเป็นผู้จัดการทีม
แต่ฤดูกาลต่อมาเขาพาทีมออกสตาร์ตได้ไม่ดีนัก
ทำให้ต้องถูกปลดจากตำแหน่งในที่สุด
และหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงกุนซือ
สเปอร์ก็ทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
_พวกเขาก็ได้โควตาไปเล่นในศึกยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์
ลีกเป็นครั้งแรกในยุคของแฮร์รี่
เร็ดแน็ปป์
โดยพวกเขาจบอันดับที่ 4
ในฤดูกาล 2009-2010
_และมาจบอันดับ 4
อีกครั้งในฤดูกาล 2011-2012
แต่อันดับ 4
ในตอนนั้นยังไม่ได้โควต้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติเหมือนอย่างตอนปัจจุบันนี้
โดยพวกเขายังต้องไปเล่นในรอบเพลย์
ออฟรอบที่ 3 ก่อนด้วย
ถึงจะผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้
และแม้ว่าฤดูกาล 2011-2012
พวกเขาจะคว้าอันดับ 4
แต่ก็ไม่ได้ไปเล่นในศึกยูฟ่า
แชเมเปี้ยนส์
ลีกแต่อย่างใด
เพราะฤดูกาลนั้นเชลซีสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์
ลีกมาครองได้สำเร็จ
ทำให้ทีมอันดับ 4
อย่างพวกเขาต้องอดไปเล่นอย่างน่าเสียดาย
ซึ่งตอนนั้นก็ยังมีกฏที่ให้แต่ละลีกมีโควต้าไปเล่นในรายกานใหญ่ของยุโรปได้เต็มที่แค่
4 ทีมเท่านั้น
ก่อนที่จะเพิ่มมาเป็น 5
ทีมในปัจจุบัน
ซึ่งตอนนั้นท็อตแน่ม
ฮ็อตสเปอร์ก็ยังไม่ได้ขึ้นมาเป็นทีมใหญ่ของลีกแต่อย่างใดในสายตาแฟนบอลทีมอื่นๆ
แต่ยุคที่พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นทีมบิ๊ก
6
ของลีกอย่างแท้จริงก็คือในยุคที่พวกเขามี
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
กุนซือชาวอาร์เจนไตน์เข้ามาคุมทีมนั่นเอง
โดยสเปอร์ไปดึงตัวกุนซือรายนี้มาจากเซาธ์แฮมป์ตันในปี
2014
ซึ่งก่อนหน้านั้นท็อตแน่ม
ฮ็อตสเปอร์ขายแกเร็ธ เบล
ยอดปีกทีมชาติเวลส์ไปให้กับเรอัล
มาดริด
ทีมดังของสเปนด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก
ทำให้พวกเขาได้เงินกลับมาก้อนโตถึง
85 ล้านปอนด์
Tottenham Hotspur
> ซึ่งทำให้ดาเนี่ยล เลวี่
> ประธานสโมสรนำเงินนั้นไปเล่นแร่แปลธาตุ
> และซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทีมหลายราย
> ไม่ว่าจะเป็นเปาลินโญ่
> โรแบร์โต้ โซลดาโด้
> เอเตียนน์ กาปู คริสเตียน
> อิริคเซ่น และเอริค
> ลาเมล่า
> ซึ่งกลายมาเป็นตัวหลักของทีม
> “ไก่เดือยทอง”
> ในเวลาต่อมาทั้งนั้น
หลังจากที่ได้เมาริซิโอ
โปเช็ตติโน่เข้ามาคุมทีมแล้ว
ทำให้ ท็อตแน่ม
ฮ็อตสเปอร์
กลายเป็นทีมที่ขยับเป้าหมายจากการลุ้นอันดับ
4 เพื่อไปเล่นในศึกยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์ ลีกในแต่ละปี
มาเป็นทีมที่มีโอกาสในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกด้วย
โดยพวกเขาได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล
2015-2016 ในปีที่เลสเตอร์
ซิตี้เป็นแชมป์
ซึ่งพวกเขามาแผ่วปลาย
ทำให้พลาดการลุ้นแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย
ก่อนที่จะมาเป็นรองแชมป์อีกครั้งในฤดูกาล
2016-2017 ที่เชลซีไปเป็นแชมป์
ซึ่งเรียกได้ว่าการที่ท็อตแน่ม
ฮ็อตสเปอร์สร้างสนามใหม่มูลค่ากว่า
800 ล้านปอนด์ได้สำเร็จ
และก้าวขึ้นมาเป็นทีมบิ๊ก
6 ได้ทุกวันนี้
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแนวทางการทำทีมของ
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
ยอดกุนซือชาวอาร์เจนไตน์นั่นเอง
หลังจาก เมาริซิโอ
โปเช็ตติโน่
ออกจากตไแหน่ง
ผู้จัดการทีม ท็อตแน่ม
ฮ็อตสเปอร์ ได้แต่งตั้ง JOSE
MOURINHO
เข้ามาคุมทีมต่อ
_ในเดือนพฤศจิกายน 2019_
ผลงานของ TOTTENHAM HOTSPUR
จะเป็นอย่างไรภายใต้การคุมทีมของ
JOSE MOURINHO
ยังคงต้องติดตามต่อไป
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inTottenham Hotspur
Tags:
Asenal , Chelsea
, Liverpool
, Manchedter United
, manchester
city , Tottenham
Hotspur ,
ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
,
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
,
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
Leave
a comment on Tottenham Hotspur
เส้นทางสู่การเป็นท็อป 6
ของลีก
PARK JI SUNG ประวัติ RUNNING MAN
แห่งโสมขาว
PARK JI SUNG
เป็นนักฟุตบอลชาวเกาหลีใต้ที่เกิดที่กรุงโซล
เมืองหลวงของประเทศในวันที่
25 กุมภาพันธ์ 1981
ซึ่งในวงการฟุตบอลเกาหลีใต้ในตอนนั้นยังไม่ได้มีระบบเยาวชนแต่อย่างใด
ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีเช่นกัน
โดยพวกทีมในลีกต่างๆ
ของประเทศจะดึงตัวนักเตะจากระดับมหาวิทลัยมาร่วมทีมแทน
ซึ่งในปี 1999 พัค
จีซองเป็นนักเตะของมหาวิทยาลัยมอยงจี
ซึ่งเขาเล่นให้กับที่นี่จนถึงปี
2000
ก่อนที่ในเดือนมิถุนายนปีนั้นจะมีทีมจากเจลีกมาดึงตัวไปร่วมทีม
ซึ่งก็คือทีมเกียวโต
ซังก้า
ซึ่งตอนนั้นเขาก็ถือว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของเกาหลีใต้แล้วด้วย
และบุนจิ คิมูระ
กุนซือของทีมเกียวโตในเวลานั้นก็เห็นแวว
และดึงตัวไปร่วมทีม
หลังจากที่เขาบินมาดูฟอร์มในเกมฝึกซ้อมที่เกาหลีใต้ด้วยตัวเอง
ซึ่งเขากลายเป็นตัวหลักของทีมในเจ
ลีกได้อย่างรวดเร็วในตอนที่ทีมต้องตกชั้นไปเล่นใน
เจ ลีก 2
แต่ก็สามารถคว้าแชมป์
และเลื่อนชั้นกลับมาสู่เจ
ลีกได้สำเร็จในระยะเวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น
และเขายังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ทีมก้าวขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดของญี่ปุ่นอีกครั้ง
ซึ่งทำให้เขามีโอกาสถูกเรียกติดทีมชาติอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ย้ายจากบ้านเกิดมาอยู่ในแดนซามูไร
ทำให้เขาก้าวขึ้นไปติดทีมชาติเกาหลีใต้ชุดใหญ่ตั้งแต่นั้นมา
นอกจากนั้นเขายังต้องเล่นให้กับทีมชาติในชุดยู
23 ที่ทำศึกเอเชี่ยน เกมส์
และกีฬาโอลิมปิกอีกด้วย
เนื่องจากอายุตอนนั้นเขายังไม่เกินที่กำหนดนั่นเอง
พัค
จีซองไปแจ้งเกิดแบบเต็มตัวได้ในศึกฟุตบอลโลก
2002 ที่มีเกาหลีใต้
และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ
ทำให้ชาติของเขาได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติ
ซึ่งตอนนั้นเกาหลีใต้มีกุส
ฮิดดิ้ง
กุนซือชื่อดังชาวดัตช์เป็นกุนซือ
ซึ่งพัค
จีซองช่วยให้ทีมชาติเจ้าภาพผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศของทัวร์นาเม้นต์นั้นเลยทีเดียว
แม้ว่าจะถูกข้อครหาว่าผู้ตัดสินช่วยเป่าเป็นใจในหลายจังหวะสำคัญๆ
ก็ตาม
แต่อย่างไรแล้วทัวร์นาเม้นต์นั้นเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
และพัค
จีซองก็ทำประตูได้ด้วย
โดยเป็นประตูสุดสวยที่พักอก
และล็อกหลบกองหลังโปรตุเกส
ก่อนที่จะวอลเล่ย์เข้าไปอย่างงดงาม
ซึ่งหลังจากจบทัวร์นาเม้นต์นั้นที่พวกเขาได้อันดับที่
4 ของการแข่งขัน กุส
ฮิดดิ้งก็ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นกุนซือคนใหม่ของพีเอสวี
ไอน์โฮเฟ่น ทีมในบ้านเกิด
และในเดือนมกราคม 2003
ฮิดดิ้งก็ตัดสินใจดึง 2
ดาวเตะทีมชาติเกาหลีใต้ที่เขาเคยร่วมงานด้วยไปร่วมทีมในเนเธอร์แลนด์ทันที
โดยมีพัค จีซอง กับอี
ยองพโย
แบ็คซ้ายทีมชาติเกาหลีใต้
ก้าวสู่เวทียุโรป
หลังจากที่ย้ายไปเล่นในลีกเอเรดิวิซี่ย์ของประเทศฮอลแลนด์
พัค
จีซองก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
และสามารถพาทีมพีเอสวี
ไอน์โฮเฟ่นเป็นแชมป์ลีกของประเทศได้สำเร็จถึง
2 สมัย
และด้วยความโดดเด่นในการเล่นแบบทุ่มสุดตัว
และความขยัน
และวิ่งได้ตลอด 90
นาทีของเขา
ทำให้แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดโดยเซอร์อเล็กซ์
เฟอร์กูสัน
ยอดกุนซือชาวสก็อตแลนด์ดึงตัวไปร่วมทีในปี
2005 ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์
ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนที่
2 ที่ย้ายมาอยู่กับทีม
“ปีศาจแดง” ต่อจากตง
ฟางโจว
กองหน้าชาวจีนที่เคยย้ายมาก่อนหน้านั้น
แต่พัค
จีซองนั้นเป็นดีลที่แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดนำมาใช้งานได้จริงเป็นรายแรกของชาวเอเชีย
ซึ่งด้วยความสารพัดประโยชน์ของเขาที่สามารถเล่นได้ทุกบทบาท
และทุกตำแหน่งในกองกลาง
ทำให้เขาได้โอกาสลงสนามอยู่ตลอดในถิ่นโอลด์
แทรฟฟอร์ด
> และก็ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง
> 4 สมัยเลยทีเดียว
> นอกจากนั้นในฤดูกาล
> 2007-2008 ซึ่งเขาช่วยให้แมนเชสเตอร์
> ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ยูฟ่า
> แชมเปี้ยนส์
> ลีกได้สำเร็จด้วย
> ซึ่งถือว่าเป็นนักเตะเอเชียรายแรกที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จอีกต่างหาก
Park Ji Sung
ซึ่งเขาถือว่าเป็นนักเตะชาวเอเชียที่ไปประสบความสำเร็จมากที่สุดบนแผ่นดินยุโรปมาจนถึงตอนนี้
ซึ่งเขาเล่นในถิ่นโอลด์
แทรฟฟอร์ดจนถึงปี 2012
ก่อนที่จะย้ายออกจากทีมไปอยู่กับควีนสปาร์ค
เรนเจอร์ส
แต่ก็ไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นได้
ทำให้เขาต้องย้ายไปจบอาชีพค้าแข้งกับพีเอสวี
ไอน์โฮเฟ่นในวัย 33 ปี
ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเลิกเล่นที่เร็วกว่าวัยอันควร
เพราะเขายังสามารถย้ายมาค้าแข้งในบ้านเกิดหรือรละแวกใกล้เคียงได้อย่างสบาย
แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของเขาที่เรื้อรังมานาน
ทำให้เขาประกาศแขวนสตั๊ดในที่สุด
พัค
จีซองถือว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมชาติเกาหลีใต้
ถึงแม้ว่าพวกเขามีซน
ฮึงมินที่ก้าวขึ้นมาทำผลงานได้ดีอยู่ในเวลานี้ก็ตาม
แต่ในเรื่องของความสำเร็จนั้นก็ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับพัค
จีซองได้อย่างแน่นอน
_โดยตอนนี้พัค
จีซองกลายเป็นทูตประจำสโมสรของแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดอยู่ด้วย_
และชีวิตหลังการค้าแข้งก็สมบูรณ์แบบทีเดียว
หลังจากที่เขาแต่งงานกับผู้ประกาศข่าวสาวของช่อง
SBS ของเกาหลีใต้
ก่อนที่จะมาให้กำเนิดลูกสาวที่กรุงลอนดอนในปี
2015 ที่ผ่านมา
Posted byadmin
2020-09-04
Posted
inmanchester united
Tags:
manchester united
, Park Ji Sung
,
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
Leave
a comment on Park Ji Sung ประวัติ Running Man
แห่งโสมขาว
JOSE MOURINHO ยอดกุนซือ “THE SPECIAL ONE”
JOSÉ MÁRIO DOS SANTOS MOURINHO FÉLIX
คือชื่อเต็มของ JOSE MOURINHO
ยอดกุนซือชาวโปรตุกีสในปัจจุบัน
ซึ่งเขาเกิดเมื่อวันที่ 26
มกราคม 1963
ที่เมืองเซตูบาลในประเทศโปรตุเกส
โดยในสมัยที่เขาเป็นนักเตะนั้นเขาเล่นในตำแหน่งกองกลาง
แต่ไม่ได้มีชื่อเสียง
และฝีเท้าที่ดีเท่าไหร่นัก
ซึ่งเขาค้าแข้งจนถึงอายุ
24
ปีเท่านั้นแล้วมองว่าตัวเองไม่น่าจะรุ่งกับเส้นทางนี้
ทำให้เขาเลิกเล่นไปในปี
1987 กับทีมเล็กๆ ในบ้านเกิด
ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักชื่อของโชเซ่
มูรินโญ่ด้วยซ้ำ
โดยหลังจากเลิกเล่นมูรินโญ่ก็เริ่มเตรียมตัวที่จะไปเป็นโค๊ช
โดยเขาเริ่มทำงานเป็นโค๊ชให้กับทีมโรงเรียนในประเทศก่อน
ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่การเป็นโค๊ชอาชีพ
โดยเขาได้โอกาสการเป็นกุนซือทีมเยาวชนของวิคตอเรีย
เซตูบาล
ทีมในเมืองเกิดของเขาในปี
1990
ก่อนที่จะได้รับการทาบทามให้ไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่เอสเตรล่า
เด อมาดอร่า
และก็มาเป็นแมวมองให้กับโอวาเรนเซ่อีกด้วย
ซึ่งเขาผ่านงานด้านนี้มาเกือบทุกตำแหน่งในตอนนั้น
ก่อนที่เขาจะได้โอกาสไปเป็นล่ามส่วนตัวของบ็อบบี้
ร็อบสัน
กุนซือชื่อดังชาวอังกฤษที่กำลังจะได้งานคุมทีมสปอร์ติ้ง
ลิสบอน
ทีมดังในโปรตุเกสในปี 1992
ซึ่งเขาก็รับโอกาสนี้อย่างไม่ลังเล
ซึ่งการทำงานกับบ็อบบี้
ร็อบสัน ทำให้โชเซ่
มูรินโญ่ได้เรียนรู้หลายๆ
อย่างกับงานโค๊ช
และหลังจากนั้นเขาก็ตามบ็อบบี้
ร็อบสันตอนไปคุมเอฟซี
ปอร์โต้
โดยคราวนี้เขาเริ่มมีบทบาทในการเป็นโค๊ชเพิ่มขึ้นด้วย
จนได้ย้ายตามกันมาที่บาร์เซโลน่า
ซึ่งทำให้มูรินโญ่ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง
ซึ่งทำให้เขายังอยู่กับทีมนี้แม้ว่ากุนซือจะเปลี่ยนมาเป็นหลุยส์
ฟาน กัลหลังจากนั้นก็ตาม
ในปี 2000 โชเซ่
มูรินโญ่เริ่มหาลู่ทางในการเป็นกุนซือเองแบบเต็มตัว
หลังจากที่ได้เรียนรู้จากยอดกุนซือมาหลายคน
และในเดือนกันยายนเขาก็ได้เริ่มต้นงานกุนซือครั้งแรกกับทีมเบนฟิก้า
ทีมยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิด
แต่เขาก็อยู่คุมทีมได้เพียงแค่
3 เดือนเท่านั้น
และก็ต้องว่างงานไปอีกครึ่งปี
ก่อนที่จะมาได้งานคุมทีมยูนิโอ
เลเรีย
ซึ่งเขาก็อยู่คุมทีมได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น
เพราะหลังจากที่เขาพาทีมนี้ทำผลงานได้ดี
ก็ถูกเอฟซี ปอร์โต้
ยักษ์ใหญ่อีกทีมหนึ่งของประเทศดึงตัวไปคุมทีมในเดือนมกราคม
2002
แจ้งเกิดในฐานะยอดกุนซือ
ซึ่งกับปอร์โต้นั้นเป็นเหมือนกับจุดเริ่มต้นความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ของชายที่ชื่อโชเซ่
มูรินโญ่เลยก็ว่าได้
เพราะเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้ถึง
2 สมัย
และปีสุดท้ายของเขากับปอร์โต้คือในปี
2004 มูรินโญ่
ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมจากโปรตุเกส
> เมื่อเขาพาทีมก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ยูฟ่า
> แชมเปี้ยนส์
> ลีกได้สำเร็จในปีนั้น
> ด้วยการหักด่านแมนเชสเตอร์
> ยูไนเต็ด
> ยอดทีมในเวลานั้นได้ในรอบรองชนะเลิศ
> ก่อนที่จะเข้าไปยำใหญ่โมนาโกของดิดิเย่ร์
> เดช็องส์ได้ 3-0
> ในนัดชิงชนะเลิศ
Jose Mourinho
ซึ่งทำให้เขาถูกเชลซี
ทีมในพรีเมียร์ลีกที่ตอนนั้นกำลังจะสร้างทีมใหม่หลังจากที่มีมหาเศรษฐีมาเทคโอเวอร์สโมสร
ทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปคุมทีมในถิ่นสแตนฟอร์ด
บริดจ์ทันที
โชเซ่
มูรินโญ่กลายเป็นเสือติดปีกทันที
หลังจากที่เขาย้ายมาคุมทีมเชลซี
เพราะว่าเขามีโรมัน
อบราโมวิช
มหาเศรษฐีชาวรัสเซียคอยหนุนหลังอุดมการณ์ของเขา
ทำให้กุนซือรายนี้ซื้อนักเตะตามที่ต้องการเข้ามาสู่ทีมได้หมด
จนทำให้เขาพาทีม
“สิงโตน้ำเงินคราม”
คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง
2 สมัยติดต่อกันในปี 2005 และ
2006
ก่อนที่ในปี 2008
เขาจะย้ายไปคุมทีม
อินเตอร์ มิลาน
ทีมดังของกัลโช่ เซเรีย
อา
ซึ่งเขาก็ไปรับมรดกต่อจากโรแบร์โต้
มันชินี่
กุนซือชาวอิตาลีที่ทำทีม
“งูใหญ่”
ไว้ดีอยู่แล้วในช่วงก่อนหน้านั้น
ทำให้เขาเข้าไปคุมทีมโดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างอะไรมาก
และกุนซือชาวโปรตุกีสรายนี้ก็ทำให้อินเตอร์
มิลานคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ได้ถึง
2 สมัยติดต่อกัน
> และรวมถึงยังพาทีมดังของเมืองมิลานทีมนี้คว้าแชมป์ยูฟ่า
> แชมเปี้ยนส์
> ลีกมาครองได้อีกด้วยในปี
> 2010 ด้วยการเอาชนะ
> บาเยิร์น มิวนิค
> ได้ในรอบชิงชนะเลิศ 2-0
> ซึ่งทำให้เขากลายเป็นยอดกุนซือในเวลานั้นไปเลย
> เพราะในรอบรองชนะเลิศปีนั้นพวกเขาปราบ
> บาร์เซโลน่า
> ที่ถูกยกให้เป็นทีมต่างดาวในตอนนั้นได้อย่างอยู่หมัด
หลังจากนั้นเขาก็ไปคุมทีม
เรอัล มาดริด
ก่อนที่จะกลับมาอยู่กับ
เชลซี อีกคำรบ
ซึ่งกับทั้ง 2
ทีมนี้เขาก็ยังทำให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้อยู่
ก่อนที่สถิติการคุมทีมอันยอดเยี่ยมของเขาจะมาหยุดลงในตอนที่เขาย้ายมาคุมทีมแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดในปี 2016
ถึงแม้ว่าเขาจะทำให้ทีม
“ปีศาจแดง” คว้าแชมป์ลีก
คัพ และยูโรป้า
ลีกมาครองได้สำเร็จก็ตาม
แต่สถิติการพาทีมคว้าแชมป์ลีกของเขาต้องหยุดลงกับทีมนี้
และสุดท้ายก็โดนปลดจากตำแหน่งในเดือนธันวาคม
2018
_ก่อนที่จะมาได้งานคุมทีม
ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ในเดือนพฤศจิกายน 2019_
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inChelsea ,
กุนซือ
,
มูรินโญ่
Tags:
Chelsea , Jose Mourinho
,
บาร์เซโลน่า
,
บาเยิร์น มิวนิค
,
อินเตอร์ มิลาน
,
เชลซี
,
เรอัล มาดริด
,
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
,
โชเซ่ มูรินโญ่
Leave
a comment on Jose Mourinho ยอดกุนซือ “The Special
One”
CHELSEA
กับการยกระดับในยุคแรกของ
มูรินโญ่
ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม”
CHELSEA ในช่วงก่อนยุคปี 2000
ถือว่าเป็นทีมระดับธรรมดาของพรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้
เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
แต่หลังจากที่พวกเขาได้
โรมัน อบราโมวิช
มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเข้ามาเทคโอเว่อร์สโมสรเชลซีเมื่อเดือนมิถุนายน
2003
หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็กลายเป็นทีมชั้นนำของพรีเมียร์ลีกทันที
เพราะเจ้าของทีมรายนี้ทุ่มเงินอย่างมหาศาลให้กับพวกเขาในการสร้างทีมขึ้นมาต่อกรกับทีมยักษ์ใหญ่ของลีก
โดยในปีแรกที่เจ้าของทีมรายนี้มาเป็นเจ้าของนั้นก็ได้ดึง
เคลาดิโอ รานิเอรี่
กุนซือชาวอิตาเลี่ยนเข้ามาคุมทีม
แต่ตอนนั้นพวกเขาก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด
จ_นกระทั่งปี 2004
ที่มีกุนซือไฟแรงที่ทำผลงานได้อย่างสุดยอด
กับการพาทีมเอฟซี
ปอร์โต้ก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์
ลีกได้สำเร็จในปีนั้น
ซึ่งก็คือ โชเซ่ มูรินโญ่
นั่นเอง
_ซึ่งก็ทำให้เชลซีจัดการปลดรานิเอรี่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมทันที
และไปดึงมูรินโญ่เข้ามาคุมทีมแทนในปี
2004
และหลังจากที่พวกเขาได้กุนซือชาวโปรตุกีสมาคุมทีม
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาลนั้นชลซีก็มีการเสริมทัพครั้งใหญ่
* ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่
และ เปาโล แฟร์ไรร่า 2
กองหลังของเอฟซี
ปอร์โต้ที่เป็นลูกน้องเก่าของมูรินโญ่
* ปีเตอร์ เช็ก
นายประตูทีมชาติเช็ก
* อาร์เย็น ร็อบเบน
ปีกดาวรุ่งจากพีเอสวี
ไอน์โฮเฟ่น
* ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา
กองหน้าร่างใหญ่จากโอลิมปิก
มาร์กเซย
* ติอาโก้ เมนเดส
กองกลางของเบนฟิก้า
ซึ่งทำให้เชลซีแข็งแกร่งขึ้นทันตาเห็น
เมื่อมาบวกกับนักเตะที่พวกเขามีอยู่แล้วก่อหน้านี้อย่างโคล๊ด
มาเกเลเล่ แฟรงค์
แลมพาร์ด โจ โคล เดเมี่ยน
ดัฟฟ์ วิลเลี่ยม กัลป์ลาส
และจอห์น เทอร์รี่
ที่เป็นกัปตันทีม
ซึ่งตอนนั้นการแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกนั้นมีแค่แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด
กับอาร์เซน่อลที่เป็น 2
ทีมยักษ์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีกเท่านั้น
ที่แย่งแชมป์กันมาตลอดในช่วงก่อนหน้านั้น
แต่เชลซีของโชเซ่
มูรินโญ่ก็ก้าวขึ้นไปเป็นทีมที่แย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่มีการเสริมทัพครั้งใหญ่ในปีนั้น
> ซึ่งแค่เพียงปีแรกในการคุมทีมของมูรินโญ่ก็สามารถทำให้ทีม
> “สิงโตน้ำเงินคราม”
> คว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ
> 50 ปีมาครองได้สำเร็จ
> ด้วยการเก็บได้ถึง 95
> คะแนนในฤดูกาลนั้น
> ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่
> โดยทำคะแนนห่างจากอาร์เซน่อลที่ตามมาเป็นอันดับที่
> 2 ได้ถึง 12
> คะแนนเลยทีเดียว
> และแนวรับของพวกเขานั้นก็ทำผลงานได้อย่างสุดยอด
> เพราะเสียไปเพียง 15
> ประตูเท่านั้นในปีนั้น
ในฤดูกาลต่อมาเชลซีก็ยังมีการเสริมทัพอย่างต่อเนื่อง
ด้วยการคว้าตัว มิคาเอล
เอสเซียง
กองกลางจอมแกร่งจาก
โอลิมปิก ลียง
ในฝรั่งเศสมาร่วมทีม
รวมถึงยังมีชอน ไรท์
ฟิลลิปส์ ลาสซาน่า
ดิอาร์ร่า อาซิเอร์ เดล
ออร์โน่ และมานิช ริเบโร่
อีกด้วย
และพวกเขาก็ยังรั้งนักเตะตัวหลักให้อยู่กับทีมต่อไปได้ทั้งหมด
ทำให้เชลซียังทำผลงานได้อย่างสุดยอดต่อไป
และในฤดูกาล 2005-2006
พวกเขาก็เรียกว่านำแบบม้วนเดียวจบเลยก็ว่าได้
เพราะพวกเขาขึ้นนำเป็นจ่าฝูงตั้งแต่สัปดาห์ที่
3 ของพรีเมียร์ลีก
และนำรวดเดียวจนกลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
Chelsea 2005-2006
> ซึ่งพวกเขาเก็บได้ 91
> คะแนนในตอนนั้น
> ซึ่งอันที่จริงพวกเขามีโอกาสที่จะเก็บได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ
> แต่ว่า 2
> นัดสุดท้ายนั้นพวกเขาไปแพ้ให้กับคู่แข่งเสียก่อน
> ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่เชลซีแข็งแกร่งสุดๆ
> เลยทีเดียวในตอนนั้น
> ซึ่งหากว่าพวกเขานำคู่แข่งได้ก่อนแล้ว
> เป็นเรื่องยากมากที่จะมีทีมไหนกลับมาได้แต้มจากพวกเขาในช่วงนั้น
> เพราะว่าเกมรับของทีมตอนนั้นแข็งแกร่งสุดๆ
> เลยทีเดียว
ขุมกำลังของเชลซีในยุคนั้นถือว่าลงตัวเป็นอย่างยิ่งในระบบ
4-3-3 ของโชเซ่ มูรินโญ่
* ผู้รักษาประตู ปีเตอร์
เช็ก
* แบ็คขวาและแบ็คซ้าย
เปาโล แฟร์ไรร่า กับ เวย์น
บริดจ์/อาซิเอร์ เดล
ออร์โน่
* กองหลังตัวกลาง จอห์น
เทอร์รี่ ยืนจับคู่กับ
ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่
* กองกลาง มีโคล๊ด
มาเกเลเล่เป็นตัวตัดเกม,
ติอาโก้ เมนเดส
และมิคาเอล
เอสเซียงเป็นกองกลางที่เล่นได้ทั้งรุก
และรับ
ส่วนกองกลางตัวรุกก็คือแฟรงค์
แลมพาร์ด
* แนวรุก 3 ตัว มีเดเมี่ยน
ดัฟฟ์ ปีกชาวไอริช
ยืนทางฝั่งซ้าย
ส่วนทางขวาเป็น อาร์เย็น
ร็อบเบน
และกองหน้าตัวเป้าก็คือ
ดิดิเย่ร ดร็อกบานั่น
ซึ่งเชลซีแข็งแกร่ง
และแพ้ยากมากในตอนนั้น
ด้วย 11 ตัวจริงชุดนี้
แถมยังมีตัวสำรองที่เข้ามาทดแทนกันได้อย่างดีอีกด้วย
_ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้
โชเซ่ มูรินโญ่
ก้าวขึ้นไปเป็นยอดกุนซือระดับโลกในช่วงหลังจากนั้นด้วย_
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inChelsea ,
มูรินโญ่
Tags:
Chelsea , Jose Mourinho
, เชลซี
,
โชเซ่ มูรินโญ่
Leave
a comment on Chelsea
กับการยกระดับในยุคแรกของ
มูรินโญ่
MIKEL ARTETA
ประวัติกุนซือคนปัจจุบันของ
“ปืนใหญ่”
MIKEL ARTETA กองกลาง ทีมชาติสเปน
เกิดที่เมืองซาน
เซบาสเตียนในแคว้นบาสก์ของประเทศสเปนเมื่อวันที่
26 มีนาคม 1982
ซึ่งเขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนอันติกูโอโก้
ทีมในระดับท้องถิ่นของแคว้นจนถึงปี
1997
ก่อนที่เขาจะได้รับการทาบทามให้เข้าศูนย์ฝึกฟุตบอลลา
มาเซียอันลือเลื่องของบาร์เซโลน่าในตอนนั้น
ซึ่งเขาก็ต้องไปอยู่กับทีมในระดับเยาวชน
และค่อยๆ
ไต่เต้าเหมือนนักเตะคนอื่นๆ
ของบาร์เซโลน่า
แต่ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้
ทำให้ต้องย้ายไปเล่นกับ
ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
ทีมในประเทศฝรั่งเศสอยู่ถึง
2 ปี
จนปี 2002 ก็ถูกกลาสโกว์
เรนเจอร์ส ทุ่มเงิน 6
ล้านปอนด์คว้าตัวไปร่วมทีม
หลังจากที่เขาทำผลงานได้ดีในลีก
เอิงของฝรั่งเศส
โดยคว้าแชมป์อินเตอร์
โตโต้ คัพมาครองได้ด้วย
ซึ่งกับเรนเจอร์สนั้นกองกลางรายนี้ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น
และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์สก็อตติช
พรีเมียร์ลีกมาครองได้ 1
สมัยในฤดูกาล 2002-2003
และในปี 2004
เขาก็ได้โอกาสกลับไปเล่นลา
ลีก้าสเปนอีกครั้ง
โดยเรอัล โซเซียดาด
ทีมในย่านที่เขาเกิดนั้นยอมจ่าย
5.2
ล้านยูโรดึงตัวไปร่วมทีม
แต่สุดท้ายเขาก็ได้ลงสนามเป็นตัวจริงเพียงแค่
3
นัดเท่านั้นในฤดูกาลนั้น
ทำให้เอฟเวอร์ตันที่มีเดวิด
มอยส์เป็นกุนซือในตอนนั้นขอยืมตัวไปร่วมทีมในเดือนมกราคมปี
2005
กับทีม
“ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” นั้น
มิเกล อาร์เตต้า
กลายเป็นตัวหลักของทีมในทันทีที่ย้ายมา
โดยเขาเข้ามาแทนที่ของโธมัส
กราเวอเซ่น
กองกลางเดนมาร์กที่ย้ายไปอยู่กับเรอัล
มาดริดในตอนนั้น
ทำให้เขากลายเป็นตัวหลักในถิ่นกูดิสัน
พาร์คแทนทันที
ซึ่งเขาช่วยให้เอฟเวอร์ตันจบอันดับที่
4
ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้นทันทีด้วย
ซึ่งทำให้ทีมได้ไปเล่นในรอบคัดเลือกในศึกยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์
ลีกในฤดูกาลต่อไป
แต่ว่าสุดท้ายพวกเขาก็ต้องพ่ายให้กับบีญาร์เรอัล
ทีมแกร่งจากสเปนในตอนนั้นไปเสียก่อน
แต่ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้เอฟเวอร์ตันตัดสินใจคว้าตัวมาร่วมทีมเป็นการถาวรด้วยค่าตัวเพียง
2 ล้านปอนด์เท่านั้น
โดยเซ็นต์สัญญากันเป็นเวลา
5 ปีเลยทีเดียว
ซึ่งตลอดระยะเวลา 6
ปีครึ่งที่เล่นให้กับเอฟเวอร์ตันนั้นเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยตลอด
โดยเขารับเหมาลูกตั้งเตะของทีม
ไม่ว่าจะเป็นลูกเตะมุม
ฟรีคิก
และรวมไปถึงลูกโทษที่จุดโทษด้วย
จนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคม
2011
เขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม
อาร์เซน่อล
ด้วยค่าตัว
10 ล้านปอนด์
Mikel Arteta
กับอาร์เซน่อลในช่วงแรกนั้นอาร์เตต้าก็ได้เป็นตัวจริงของทีมในช่วงนั้นในยุคที่มีอาร์เซน
เวนเกอร์คุมทีม
โดยเล่นร่วมกับอเล็ก ซง
กองกลางแคเมรูน และอารอน
แรมซี่ย์
กองกลางทีมชาติเวลส์
แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก
> โดยเขามาประสบความสำเร็จกับอาร์เซน่อลด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอ
> คัพ 2 สมัยติดต่อกัน
> คือในปี 2014 และ 2015
> ซึ่งถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จสูงสุดของเขาในอาชีพการค้าแข้งแล้ว
> ซึ่งในปี 2016
> เขาก็ประกาศแขวนสตั๊ดในวัย
> 34 ปี
ซึ่งเขาเป็นนักเตะฝีเท้าดีที่ไม่เคยติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่เลยแม้แต่นัดเดียว_
เพราะช่วงที่เขาฟอร์มดีนั้น
ทีมชาติสเปนเต็มไปด้วยกองกลางระดับโลก
ไม่ว่าจะเป็นชาบี
เอร์นานเดส อันเดรส
อิเนสต้า ชาบี อลอนโซ่
และดาบิด ซิลบา
_ทำให้เขาไม่เคยได้รับโอกาสในการติดทีมชาติเลย
โดยมีเพียงการติดทีมชาติในระดับเยาวชนเท่านั้น
ซึ่งเขาเคยช่วยให้ทีมชาติสเปนชุดยู
16
คว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้ในปี
1999
ในตอนที่เขาประกาศเลิกเล่นนั้นก็มี
3
ทางเลือกให้เขาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับอนาคตของเขา
โดยมีทั้งการเป็นหัวหน้าอคาเดมี่ของอาร์เซน่อล
หรือจะไปเป็นทีมงานของเมาริซิโอ
โปเช็ตติโน่ที่ท็อตแน่ม
ฮ็อตสเปอร์
และทางเลือกสุดท้ายก็คือการไปเป็นสต๊าฟฟ์โค๊ชของเป็ป
กวาดิโอล่า
ยอดกุนซือชาวสเปนที่กำลังจะย้ายไปคุมทีมแมนเชสเตอร์
ซิตี้ในตอนนั้นพอดี
ซึ่งเขาก็เลือกที่จะไปเรียนรู้งานกับยอดกุนซือชาวสเปนทันที
ซึ่งเขาถูกแต่งตั้งให้เป็น
1 ในผู้ช่วยของเป็ป
กวาดิโอล่าร่วมกับไบรอัน
คิดด์ และโดเมเน็ค
ตอร์เรนต์
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ยอดกุนซือชาวสเปนรายนี้เลือกอาร์เตต้ามาเป็นผู้ช่วยของเขาก็คือพวกเขาเคยเจอกันมาก่อนในสมัยที่อาร์เตต้าเป็นเด็กเยาวชนของบาร์เซโลน่านั่นเอง
แม้ว่าเป็ปจะอายุมากกว่าถึง
11 ปีก็ตาม
และเขาก็ต้องการที่จะมีผู้ช่วยที่รู้เรื่องราวของฟุตบอลอังกฤษด้วย
ทำให้เขาตัดสินใจดึงมาเป็นทีมงาน
ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี
และได้รับคำชมจากสมาคมต่างๆ
ที่ให้เขาไปบรรยายเรื่องแทคติกกับผู้ฝึกสอนใหม่
_และสุดท้ายเมื่อช่วงเดือนธันวาคม
2019
ที่อาร์เซน่อลกำลังมองหากุนซือรายใหม่เข้ามาคุมทีม
พวกเขาก็ตัดสินใจจ้างมิเกล
อาร์เตต้ามาเป็นกุนซือในถิ่นเอมิเรต
สเตเดี้ยมในที่สุด
ซึ่งถือว่าเป็นงานคุมทีมแบบเต็มตัวครั้งแรกของเขาด้วย_
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inArsenal ,
ผู้จัดการทีม
Tags:
Arsenal , Mikel Arteta
, มิเกล
อาร์เตต้า
,
อาร์เซน่อล
Leave
a comment on Mikel Arteta
ประวัติกุนซือคนปัจจุบันของ
“ปืนใหญ่”
THIERRY HENRY ตำนานดาวเตะ
“ปืนใหญ่”
THIERRY DANIEL HENRY คือชื่อเต็มของ
THIERRY HENRY
กองหน้าดาวเตะของอาร์เซน่อล
และของทีมชาติฝรั่งเศสนั่นเอง
ซึ่งเขาเกิดเมื่อปี 1977
ซึ่งเขาเลือกเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่
6 ขวบเลยทีเดียว
โดยการเข้าสู่ระบบเยาวชนกับทีมต่างๆ
แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทีมเล็กๆ
และทีมสมัครเล่นซึ่งไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก
จนกระทั่งในปี 1992
เขาได้เข้าสู่ระบบเยาวชนของศูนย์ฝึกฟุตบอลเกลอฟ็องต็ง
ศูนย์ฝึกฟุตบอลของสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศส
ที่ปั้นนักเตะดาวดังขึ้นมามากมาย
และหลังจากนั้นก็เป็นโมนาโก
ทีมในลีก
เอิงที่มาดึงตัวเขาไปอยู่ในระบบเยาวชนของสโมสร
หลังจากที่เริ่มเห็นแววของดาวรุ่งรายนี้
โดยโมนาโกส่งแมวมองตามดูฟอร์มอ็องรีมาตั้งแต่ปี
1990 แล้วด้วยซ้ำ
ซึ่งอ็องรีก็ต้องมาฝึกกับโมนาโกอีก
2 ปี
ก่อนที่เขาจะเริ่มได้โอกาสในการลงเล่นกับทีมชุดใหญ่
ซึ่งตอนนั้นเขาก็มีอายุเพียงแค่
17 ปีเท่านั้น
ซึ่งตอนนั้นกุนซือของโมนาโกก็คือ
ARSENE WENGER
ที่ก็กลายมาเป็นเจ้านายของเขาที่อาร์เซน่อลอีกด้วย
_ซึ่งในตอนแรกนั้นอาร์เซน
เวนเกอร์จับเขาไปเล่นในตำแหน่งปีก
เพราะเชื่อว่าความเร็วของเขาจะสร้างความปั่นป่วนกับวิงแบ็คของคู่แข่งได้มากกว่า_
ซึ่งทำให้ในช่วงแรกอ็องรีไม่ได้มีผลงานการทำประตูที่โดดเด่นอะไรนัก
แต่เขาก็ช่วยให้ทีมโมนาโกคว้าแชมป์ลีก
เอิงมาครองได้สำเร็จในปี
1997
จนกระทั่งในเดือนมกราคม
1999 เขาก็ถูก ยูเวนตุส
ทีมยักษ์ใหญ่ของอิตาลีดึงตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว
10.5 ล้านปอนด์
แต่เขาไม่สามารถปรับตัวกับการเล่น
และการใช้ชีวิตในแดนมักกะโรนีได้
ทำให้เขาเล่นกับทีม
“ม้าลาย”
เพียงแค่ครึ่งฤดูกาลเท่านั้น
ก็ถูกอาร์เซน
เวนเกอร์ดึงตัวไปร่วมงานกันอีกครั้งกับทีมอาร์เซน่อล
ทีมดังของประเทศอังกฤษ
ซึ่งตอนนั้นเวนเกอร์ได้สร้างให้อาร์เซน่อลกลายเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษไปแล้ว
ซึ่งอาร์เซน่อลทุ่มเงิน 11
ล้านปอนด์คว้าตัวมาร่วมทีม
ก้าวขึ้นเป็นนักเตะระดับโลกกับอาร์เซน่อล
ซึ่งเวนเกอร์ดึงอ็องรีมาเป็นกองหน้าของทีมทันทีในคราวนี้
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นนักเตะระดับโลกในเวลาต่อมาด้วย_
โดยเขาย้ายไปอยู่กับทีม
“ปืนใหญ่” ในปี 1999
เพื่อเป็นตัวแทนของนิโคลาส์
อเนลก้
กองหน้ารุ่นพี่ชาวฝรั่งเศสที่ย้ายไปอยู่กับเรอัล
มาดริดในช่วงเวลาเดียวกัน_
ทำให้อ็องรีกลายเป็นกองหน้าตัวจริงของอาร์เซน่อลทันที
โดยเขาได้โอกาสจับคู่กับเดนนิส
เบิร์กแคมป์
กองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ของทีม
ซึ่งกลายเป็นคู่หูที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับอาร์เซน่อลในเวลาต่อมาด้วย
เธียร์รี่
อ็องรีมาก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าระดับโลกในตอนที่ค้าแข้งกับอาร์เซน่อลตั้งแต่ปี
1999 เป็นต้น
เขากลายเป็นกองหน้าดาวยิงสูงสุดของอาร์เซ่อลมาโดยตลอด
และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ถึง
2 สมัยในปี 2002 และ 2004
> โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2004
> ซึ่งเป็นปีประวัติศาสตร์ของอาร์เซน่อล
> เมื่อพวกเขาก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการไม่แพ้ให้กับทีมใดเลยตลอด
> 38 นัดในลีก
> ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมแรกที่ทำได้สำเร็จหลังจากที่เปลี่ยนชื่อลีกสูงสุดของอังกฤษมาเป็นพรีเมียร์ลีก
> และมี 20 ทีมในลีกสูงสุด
ซึ่งสถิติของพวกเขายังคงอยู่ในปัจจุบัน
และยังไม่มีทีมไหนที่ไร้พ่ายในพรีเมียร์ลีกนอกจากอาร์เซน่อล
และนอกจากนั้นพวกเขายังไม่แพ้ติดต่อกันในลีกถึง
49 นัด
ซึ่งก็ยาวนานที่สุดมาจนถึงปัจจุบันด้วยซึ่ง
อ็องรีเป็นส่วนสำคัญของอาร์เซน่อลในตอนนั้นที่ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาต่อกรกับแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดในการลุ้นแชมป์ได้อย่างสนุก
Thierry Henry
นอกจากนั้นอ็องรียังกลายเป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกได้ถึง
4 สมัยด้วยกัน
และยังเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกอีก
2 สมัยด้วย
ซึ่งเขาเล่นกับอาร์เซน่อลเพียง
8 ปี
ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ
บาร์เซโลน่า ในปี
2007 ด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร
ซึ่งเขาไปอยู่ในยุคที่บาร์เซโลน่าเป็นยอดทีมพอดี
ทำให้ประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลา
ลีก้าถึง 2 สมัย
และสุดท้ายก็คือการที่ได้แชมป์ยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์
ลีกครั้งแรกของเขาในปี 2009
ด้วย
แม้ว่าผลงานของเขากับทีมดังจากสเปนจะไม่ได้ดีเหมือนตอนอยู่กับอาร์เซน่อลก็ตาม
ซึ่งเขาก็เล่นกับบาร์เซโลน่าเพียง
2 ปีครึ่งเท่านั้น
ก่อนที่จะย้ายไปเล่นในสหรัฐอเมริกากับนิวยอร์ค
เร๊ดบูลส์
และแขวนสตั๊ดลงในปี 2014
หลังจากที่เขาเลิกเล่นแล้ว
เขาก็มารับงานเป็นโค๊ชให้กับทีมเยาวชนของอาร์เซน่อลในเดือนกุมภาพันธ์ปี
2015
ซึ่งเขาทำงานนี้ควบคู่ไปกับการเป็นคอมเม้นเตเตอร์
หรือนักวิเคราะห์เกมให้กับสกาย
สปอร์ต
สถานีโทรทัศน์ชื่อดังของอังกฤษนั่นเอง
ซึ่งเขาวิเคราะห์วิจารณ์ได้ดีทีเดียวจนได้รับคำชมจากแฟนบอล
ในเดือนสิงหาคม 2016
ที่โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ
กุนซือคนใหม่ของทีมชาติเบลเยี่ยมก็ดึงตัวเขาไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมคนที่
2 ต่อจากแรม
โจนส์ที่เป็นมือขวาอีกคนหนึ่ง
โดยอ็องรีได้รับมอบหมายให้ดูแลการขึ้นเกมรุกของทีมชาติเบลเยี่ยม
ซึ่งเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม
จนสุดท้ายเขาก็ได้งานเป็นกุนซือของโมนาโก
แต่กลับล้มเหลว
และโดนไล่ออกอย่างรวดเร็ว
_ก่อนที่จะมาได้คุมทีมมอนเทรอัล
อิมแพ็คต์ ทีมในเมเจอร์
ลีกของอเมริกาในปี 2019
ที่ผ่านมา_
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inArsenal Tags:
Arsenal , Thierry Henry
,
บาร์เซโลน่า
,
เธียร์รี่ อ็องรี
Leave
a comment on Thierry Henry ตำนานดาวเตะ
“ปืนใหญ่”
PATRICK VIEIRA
กองกลางพันธุ์ดุแห่งอาร์เซน่อล
PATRICK VIEIRA
เป็นดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสก็จริง
แต่ว่าเขาไม่ได้เกิดที่แดนน้ำหอมแต่อย่างใด
เพราะว่าอันที่จริงแล้วเขาเกิดที่เมืองดาก้าร์
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเซเนกัลเมื่อปี
1976
ก่อนที่ครอบครัวจะอพยพย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส
จนทำให้เขาได้วีซ่า
และสัญชาติฝรั่งเศสมาจนถึงตอนนี้นั่นเอง
ซึ่งวิเอร่าย้ายมาอยู่ในฝรั่งเศสตั้งแต่ยังเด็ก
ทำให้เขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลทีนี่
โดยตระเวนไปเข้าทีมเยาวชนหลายแห่ง
ก่อนที่ในปี 1991
เขาจะได้ย้ายมาอยู่กับตูร์
ทีมเล็กๆ
ที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในลีก
เอิง และลีก เดอในตอนนั้น
แต่เขาก็ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่กับทีมนี้ได้แต่อย่างใด
จนกระทั่งในปี 1994
ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นนักเตะไร้สังกัดไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อไม่มีทีมไหนเซ็นต์สัญญากับเขาเลย
ทำให้เขาต้องเคว้งคว้างไปเกือบปีทีเดียว
ก่อนที่ก็อง
ทีมที่ตอนนั้นอยู่ในลีกสูงสุดดึงตัวไปร่วมทีม
> ซึ่งวิเอร่าได้เล่นในช่วงท้ายฤดูกาล
> และทำผลงานได้ดี
> จนทำให้เขาได้สัญญาระยะยาวกับทีมแห่งนี้ในวัย
> 17 ปี
> ซึ่งเขาเล่นกับทีมนี้อีก
> 2 ปี จนอายุ 19
> เขาได้เป็นกัปตันทีมก็องตั้งแต่ยังเด็กเลยทีเดียว
> ด้วยความที่มีความเป็นผู้นำที่สูงมาตั้งแต่เด็ก
ซึ่งด้วยผลงานที่โดดเด่น
ก็ทำให้ในปี 1995 เขาก็ถูก
เอซี มิลาน
ยอดทีมของประเทศอิตาลีคว้าตัวไปร่วมทีม
แต่กลับกลายเป็นว่าการย้ายมาค้าแข้งกับทีม
“ปีศาจแดงดำ”
เป็นความคิดที่ผิดของเขา
เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นให้กับทีมสำรอง
และได้เล่นในทีมชุดใหญ่ไปเพียงแค่
5
นัดเท่านั้นในฤดูกาลนั้น
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เล่นให้กับเอซี
มิลานมากมายนัก
แต่เขาก็ยังได้โอกาสย้ายทีมในปี
1996 โดยมีอาแจ๊กซ์
อัมสเตอร์ดัม
ทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศฮอลแลนด์
และอาร์เซน่อล
ทีมจากอังกฤษที่ยื่นข้อเสนอเข้ามา
แต่เป็นทางทีม “ปืนใหญ่”
ที่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทั้งกับมิลาน
และทั้งกับพาทริค วิเอร่า
ทำให้ได้ตัวไปร่วมทีม
ซึ่งเป็นการย้ายตามเรมี่
การ์ด
ดาวเตะฝรั่งเศสอีกคนไปอยู่ในถิ่นไฮบิวรี่ในตอนนั้น
ซึ่งมีบรูซ ริอ็อชคุมทีม
แต่เขาก็อยู่ได้เพียงแค่แป็ปเดียวเท่านั้นก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่งไป
และอาร์เซน่อลก็ไปดึง
อาร์เซน เวนเกอร์
กุนซือชาวฝรั่งเศสเข้ามาคุมทีมนั่นเอง
ซึ่งการดึงกุนซือรายนี้เข้ามานั้นได้เปลี่ยนแปลงทั้งอาร์เซน่อล
และพาทริค
วิเอร่าไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะเขาทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์ในช่วงหลังจากนั้นทันที
และกลายเป็นคู่ปรับสำคัญของแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด
ยอดทีมของอังกฤษในเวลานั้นด้วย
สร้างตำนานกับ
“ไอ้ปืนใหญ่”
และวิเอร่าก็ก้าวขึ้นมาเป็นกองกลางตัวจริงของอาร์เซน่อลนับตั้งแต่ย้ายมา
โดยตอนแรกเขาจับคู่เล่นในแดนกลางกับเอ็มมานูเอล
เปอร์ตี
กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส
ซึ่งทำให้อาร์เซน่อลแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งในตอนนั้น
_และสุดท้ายก็ทำให้อาร์เซน่อลก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง
3 สมัยเลยทีเดียว
_ซึ่งเขาก็จับคู่กับเปอร์ตีอยู่หลายปีเลยทีเดียว
ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเล่นกับเอดู
กองกลางชาวบราซิเลี่ยน
และสุดท้ายก็คือกิลแบร์โต้
ซิลวา
กองกลางทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลกปี
2002 นั่นเอง
Patrick Vieira
ซึ่งวิเอร่าเล่นกับอาร์เซน่อลจนถึงปี
2005
ก็ตัดสินใจย้ายทีมในวัย
29 ปี
โดยเลือกที่จะย้ายไปอยู่กับยูเวนตุส
ทีมดังของประเทสอิตาลีด้วยค่าตัว
13.75
ล้านปอนด์ แต่ว่าสุดท้ายเขาก็ค้าแข้งกับทีมดังของเมืองตูรินได้แค่เพียงปีเดียวเท่านั้นก็ต้องย้ายออกจากทีมอีกครั้ง
เพราะตอนนั้นทีม “ม้าลาย”
เสียชิ่อเสียงอย่างหนักจากการล็อคผลการแข่งขันจนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว
ซึ่งมาถูกจับได้ในตอนที่วิเอร่าย้ายไปร่วมทีมพอดี
ซึ่งทำให้ฤดูกาลนั้นที่พวกเขาคว้าแชมป์ก็มาถูกริบไปด้วย
และทีมต้องตกชั้นอีกต่างหาก
ทำให้วิเอร่าตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม
อินเตอร์ มิลาน
ในปี
2006 ทันที
ซึ่งเขาย้ายมาอยู่กับทีม
“งูใหญ่” ได้ถูกช่วง
เพราะตอนนั้นถือว่าเป็นยุคทองของอินเตอร์
มิลานเลยทีเดียว
เมื่อไม่มียูเวนตุสเป็นคู่แข่ง
ก็ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้มาครองได้ถึง
4 สมัยติดต่อกัน
แต่สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับพาทริค
วิเอร่าก็คือเขาตัดสินใจย้ายออกจากทีมอินเตอร์
มิลานในช่วงเดือนมกราคม
2010
ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูกาลพอดี
ซึ่งหลังจากเขาย้ายออกไปแล้ว
อินเตอร์
มิลานมาคว้าแชมป์ยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์
ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น
ซึ่งเป็นแชมป์ที่เขายังไม่เคยได้ด้วย
ทำให้ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายทีเดียว
โดยเขาเลือกที่จะย้ายไปเล่นให้กับแมนเชสเตอร์
ซิตี้ในเดือนมกราคม 2010
ซึ่งเขาเล่นกับทีม
“เรือใบสีฟ้า”
อยู่ปีครึ่ง
ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดไปในที่สุด
หลังจากเลิกเล่นในปี 2011
เขาก็ได้รับงานในการเป็นโค๊ชทันที
โดยเริ่มแรกเขาได้ดูแลระบบเยาวชนของทีมในเครือแมนเชสเตอร์
ซิตี้ ก่อนที่ปลายปี 2015
เขาจะได้คุมทีมนิวยอร์ค
ซิตี้ ทีมในเมเจอร์ ลีก
และในปี 2018
เขาก็ได้งานคุมทีมในฝรั่งเศส
กับทีมนีซนั่นเอง
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inArsenal Tags:
Arsenal , Patrick Vieira
,
อาร์เซน่อล
Leave
a comment on Patrick Vieira
กองกลางพันธุ์ดุแห่งอาร์เซน่อล
ARSENE WENGER
กุนซือผู้สร้างตำนานให้
“ปืนใหญ่
ARSENE WENGER
เป็นชาวฝรั่งเศสที่เกิดที่เมืองสตราส์บูร์กเมื่อปี
1949
ซึ่งในสมัยที่เป็นนักเตะนั้นไม่ได้เป็นนักเตะที่เก่งกาจแต่อย่างใด
โดยเขาเคยเล่นในตำแหน่งกองกลางมาก่อน
ซึ่งทีมที่ดังที่สุดที่เขาเคยเล่นให้ก็คือสตราส์บูร์กนั่นเอง
แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวหลัก
และตัวจริงให้กับทีมแต่อย่างใด
แม้ว่าทีมจะเป็นแชมป์ดิวิชั่น
1
ในตอนที่เขาค้าแข้งอยู่ก็ตามนอกนั้นก็เคยเล่นแต่กับทีมโนเนมทั้งนั้น
และหลังจากที่เขวแขวนสตั๊ดไปเมื่อปี
1981
เขาก็ใช้เวลากว่า 3
ปีในการเรียนการเป็นโค๊ช
และมาได้งานแรกคือการเป็นผู้จัดการทีมของน็องซี่
ทีมเล็กๆ
ในประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งผลงานการคุมทีมของเขาก็ไม่ได้ดีนัก
โดยเขาได้คุมทีมนี้อยู่ 3
ปี ก่อนที่จะเป็นโมนาโก
ทีมที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยที่ดึงตัวเขาไปคุมทีมในปี
1987
ซึ่งเขาพาทีมประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ดิวัชั่น
1
ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขาไปคุมทีม
และต่อมาก็พาทีมเป็น
_แชมป์เฟรนซ์ คัพในปี 1991_
อีกด้วย
ซึ่งเขาได้คุมทีมนานถึง 7
ปี
ก่อนที่จะย้ายไปหาประสบการณ์กับทีมในประเทศญี่ปุ่นอย่าง
นาโกย่า แกรมปัส เอท
ในศึกเจ ลีกเมื่อปี 1995
ซึ่งเขาพาทีมคว้า
_แชมป์เอ็มเพอร์เรอร์ คัพ
_หรือศึกบอลถ้วยของประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จ
รวมถึงแชมป์เจแปนีส
ซุเปอร์ คัพอีกด้วย
ซึ่งทำให้เขาเป็นที่หมายตาของทีมในยุโรปที่จะดึงตัวไปคุมทีม
และก็เป็นอาร์เซน่อล
ทีมในพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่ตัดสินใจดึงตัวไปคุมทีมในวันที่
1 ตุลาคมปี 1996
ก้าวสู่การคุมทีมระดับพรีเมียร์ลีก
กับ อาร์เซน่อล
ในช่วงแรกนั้นเป็นช่วงที่เขาต้องสร้างทีมขึ้นมาใหม่
เพราะในยุคก่อนหน้านี้อาร์เซน่อลถูกมองว่าเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าเบื่อจนถูกเรียกว่าเป็นบอริ่ง
อาร์เซน่อล เลยทีเดียว
แต่อาร์เซน
เวนเกอร์ได้เข้ามาทำให้ทีมเปลี่ยนเป็นทีมที่เล่นได้อย่างสนุก
และสวยงามอย่างรวดเร็ว
กับสไตล์การต่อบอลของเขาที่ถือว่าแตกต่างกว่าทีมไหนๆ
ในตอนนั้น
และก็คว้าตัวนักเตะดาวดังมาร่วมทีมในตอนนั้นหลายราย
ไม่ว่าจะเป็นมาร์ค
โอเวอร์มาร์ส และเดนนิส
เบิร์กแคมป์
ซึ่งถือว่าเป็น 2
ดาวเตะทีมชาติฮอลแลนด์ในเวลานั้น
และด้วยความที่เขาเป็นชาวฝรั่งเศส
ทำให้มีคอนเน็คชั่นกับนักเตะสัญชาติเดียวกันเป็นอย่างดี
ซึ่งทำให้เขาคว้าตัวนักเตะชาวฝรั่งเศสมาร่วมทีมหลายราย
ไม่ว่าจะเป็นโรแบร์ ปิแรส
ปาทริค วิเอร่า
และเธียร์รี่ อ็องรี
ซึ่งกลายเป็นตัวหลักของอาร์เซน่อลในเวลาต่อมาทั้งนั้น
ซึ่งหลังจากที่เขามาคุมทีมอาร์เซน่อลแล้วนั้น
เวนเกอร์ทำให้อาร์เซน่อลก้าวขึ้นมาเป็นทีมชั้นนำของลีกได้อย่างรวดเร็ว
พวกเขากลายเป็นทีมที่ต่อกรกับแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในช่วงนั้น
ซึ่งก็สลับกันคว้าแชมป์ลีกกันอย่างสนุกในช่วงปลายทศวรรษ
90 มาจนถึงช่วงต้นยุค 2000
ซึ่งทำให้อาร์เซน
เวนเกอร์
ถูกมองว่าเป็นคู่ปรับกับเซอร์อเล็กซ์
เฟอร์กูสัน
กุนซือชาวสก็อตแลนด์ของแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดในเวลานั้นด้วย
> ในฤดูกาล 2003-2004 อาร์เซน
> เวนเกอร์ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ให้กับอาร์เซน่อล
> ด้วยการที่เขาทำให้อาร์เซน่อลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น
> _และที่สำคัญคือพวกเขาสามารถทำสถิติไม่แพ้ให้กับทีมไหนเลยตลอดทั้งฤดูกาล
> ซึ่งไม่เคยมีทีมไหนทำได้มาก่อนหลังจากที่พรีเมียร์ลีกเปลี่ยนมามี
> 20 ทีม
> และสถิตินี้ก็ยังไม่มีทีมไหนที่ทำได้มาจนถึงปัจจุบัน_
> โดยในฤดูกาลนั้นอาร์เซน่อลทำสถิติชนะ
> 26 นัด และเสมอไป 12
> นัดด้วยกัน
Arsene Wenger
ตลอดระยะเวลา 22
ปีที่เขาคุมทีม “ปืนใหญ่”
เวนเกอร์ช่วยให้อาร์เซน่อลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง
3 สมัย และแชมป์เอฟเอ
คัพอีกถึง 7 สมัย
ซึ่งยังสามารถพาทีมผ่นเข้าชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์ ลีกในปี 2006
ด้วย
แต่ว่าปีนั้นพวกเขาไปแพ้ให้กับบาร์เซโลน่าในรอบชิงชนะเลิศอย่างน่าเสียดาย
ซึ่งเขาถือว่าเป็นกุนซือที่ทำให้อาร์เซน่อลประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
ก่อนที่จะอำลาการคุมทีมไปในปี
2018 อย่างยิ่งใหญ่
และสมเกียรติ
ในการคุมทีมอาร์เซน่อลนั้น
อาร์เซน
เวนเกอร์ได้ปั้นนักเตะหลายคนให้กลายเป็นดาวเตะระดับโลก
และหนึ่งในนั้นก็คือเธียร์รี่
อ็องรี
กองหน้าชาวฝรั่งเศสของทีมที่ไปคว้าตัวมาจากยูเวนตุส
ซึ่งในตอนที่ย้ายมานั้นอ็องรียังไม่ค่อยมีความสามารถมากเท่าไหร่นัก
เพราะตอนแรกนั้นเขาเล่นในตำแหแน่งปีกซ้ายเสียเป็นส่วนใหญ่
แต่พอกุนซือรายนี้ปรับเขามาเล่นเป็นกองหน้าคู่กับเดนนิส
เบิร์กแคมป์
อ็องรีกลับฉายแววและแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวกับตำแหน่งนี้
จนเขากลายเป็นดาวซัลโวระดับท็อปของพรีเมียร์ลีก
ซึ่งตัว อาร์เซน เวนเกอร์
ก็ได้รางวัลส่วนตัวต่างๆ
มากมาย
ทั้งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีกถึง
3 สมัย
และผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของโลกอีก
1 ครั้งในปี 1998 ด้วย
ซึ่งหลังจากที่เขาวางมือจากการคุมทีมไปเมื่อปี
2018
หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้มีการรับงานคุมทีมอื่นๆ
อีกเลยในช่วงที่ผ่านมา
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inArsenal Tags:
Arsenal , Arsene Wenger
,
เธียร์รี่ อ็องรี
Leave
a comment on Arsene Wenger
กุนซือผู้สร้างตำนานให้
“ปืนใหญ่
ARSENAL 2003-2004 ตำนานแชมป์ไร้พ่าย
> ซึ่งในฤดูกาล 2003-2004
> อาร์เซน่อลได้สร้างประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกขึ้น
> เมื่อพวกเขาสามารถเป็นแชมป์ในฤดูกาลนั้นด้วยการไม่แพ้ให้กับทีมไหนเลยตลอดฤดูกาลนั้น
> ซึ่งยังคงเป็นสถิติที่มีแค่
> อาร์เซน่อล
> ทำได้เพียงทีมเดียวเท่านั้นในพรีเมียร์ลีกมาจนถึงตอนนี้
แม้ว่าลิเวอร์พูลมีแววว่าอาจจะทำได้สำเร็จในฤดูกาล
2019-2020 ก็ตาม
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไปพ่ายให้กับวัตฟอร์ด
ทีมท้ายตารางในนัดที่ 27
เสียก่อน
ทำให้พวกเขาอดทำสถิติไร้พ่ายในท้ายที่สุด
อาร์เซน่อลในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาลนั้นมีการเสริมทัพหลายราย
ซึ่งพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงผู้รักษาประตูมือ
1 ของทีมพอดี
โดยปล่อยเดวิด ซีแมน
นายประตูทีมชาติอังกฤษที่หมดสัญญาออกจากทีมไป
และไปคว้าตัวเยนส์
เลห์มันน์
นายประตูทีมชาติเยอรมันมาจากโบรุสเซีย
ดอร์ตมุนด์
นอกจากนั้นก็ยังไปคว้าตัวเชสก์
ฟาเบรกาส
ดาวรุ่งพุ่งแรงของบาร์เซโลน่ามาร่วมทีม
แถมยังมี โรบิน ฟาน
เพอร์ซี่ย์
ที่ไปดึงตัวมาจากเฟเยนูร์ดในเนเธอร์แลนด์
และโฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส
ตัวรุกชาวสเปนมาจากเซบีญ่าอีกด้วย
ซึ่งมาบวกกับขุมกำลังเก่าของพวกเขาที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว
ทำให้อาร์เซน่อลในชุดนั้นถือว่าสุดยอดเป็นอย่างยิ่ง
* ผู้รักษาประตู เยนส์
เลห์มัน เป็นประตูมือ 1
* แบ็คซ้าย-ขวา เป็น
แอชลี่ย์ โคล และ โลร็องต์
เอตาเม่
แบ็คขวาทีมชาติแคเมรูน
* ปราการหลังตัวกลาง
เป็นโซล
แคมป์เบลจับคู่กับโคโล
ตูเร่ และมีมาร์ติน
คีโอว์นเป็นตัวสำรอง
* กองกลาง มีปาทริค
วิเอร่า
กัปตันทีมจับคู่กับ
กิลแบร์โต้ ซิลวา
กองกลางตัวรับทีมชาติบราซิล
และมีเอดูเป็นตัวสำรอง
* ตัวริมเส้น
ในยุคนั้นถือว่าทำผลงานได้ยอดเยี่ยมทุกคน
ไม่ว่าจะเป็น เฟรดดี้
ลุงเบิร์ก
กองกลางทีมชาติสวีเดน
เรย์ พาร์เลอร์
กองกลางชาวอังกฤษเป็นปีกขวา
ส่วนปีกซ้ายก็มีโรแบร์
ปิแรส และซิลแว็ง วิลตอร์ 2
ดาวเตะชาวฝรั่งเศสที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
* กองหน้า ก็มีเดนนิส
เบิร์กแคมป์
กองหน้าจอมคลาสสิกชาวดัตช์ที่จับคู่กับ
Thierry Henry
ยอดกองหน้าแห่งยุคชาวฝรั่งเศสที่เป็นดาวซัลโวของทีมในช่วงนั้นอยู่ด้วย
นอกจากนั้นก็มีตัวสำรองอย่างเอ็นวานโก้
คานู
กองหน้าร่างสูงชาวไนจีเรียเป็นตัวสำรองทีเด็ดอีกด้วย
Arsenal
การเดินหน้าสู่ความไร้เทียมทานของ
ARSENAL
และด้วยขุมกำลังที่แข็งแกร่งของทีมในฤดูกาลนั้น
บวกกับการคุมทีมของ
อาร์เซน เวนเกอร์
ก็ทำให้อาร์เซน่อลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล
ด้วยการเก็บชัยชนะได้ 4
นัดแรกติดต่อกัน
จนทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จ
และในนัดที่ 6
ของฤดูกาลนั้นพวกเขาต้องบุกไปเยือนแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด
คู่ปรับสำคัญในการเบียดแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกที่
_โอลด์ แทรฟฟอร์ด
_ซึ่งเกมนั้นดุเดือด
และสูสีกันเป็นอย่างมาก
จนมาถึงช่วงท้ายเกมที่เจ้าถิ่นมาได้จุดโทษในช่วงท้ายเกม
แต่ว่าเป็น รุด ฟาน
นิสเทลรอย
กองหน้าชาวดัตช์ของทีมที่ซัดบอลไปชนคาน
ทำให้อาร์เซน่อลรอดพ้นจากความพ่ายแพ้มาได้อย่างหวุดหวิด
ซีงมันเป็นเหมือนกับจุดเปลี่ยนของอาร์เซน่อลในฤดูกาลนั้นเลย
เพราะหลังจากนั้นมาทีม
“ปืนใหญ่”
สามารถเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง
จนสุดท้ายพวกเขาไม่แพ้ใครทั้งฤดูกาล
2003-2004
ด้วยสถิติการเก็บชัยชนะได้
26 นัด และเสมอไป 12 นัด
ทำให้มี 90 คะแนน
และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้นไปครองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ซึ่งทำให้อาร์เซน่อลเป็นทีมแรกที่ทำสถิติไม่แพ้ให้กับทีมไหนเลยหลังจากที่ลีกสูงสุดเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันมาเป็น
20 ทีม และแข่ง 38
นัดต่อฤดูกาลและนอกจากนั้นพวกเขาก็ทำสถิติไม่แพ้ใครในลีกติดต่อกันถึง
49 นัดเลยทีเดียว
เพราะฤดูกาลก่อนหน้านั้นพวกเขาก็ไม่แพ้ใครใน
2 นัดสุดท้าย
และฤดูกาลต่อมาก็ไม่แพ้ใครอีก
9 นัดติดต่อกัน
ก่อนที่จะมาแพ้ในนัดที่ 50
เมื่อพวกเขาต้องบุกไปเยือนแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด
และก็ไปเจอทีเด็ดของเวย์น
รูนี่ย์ที่เรียกจุดโทษให้ทีม
และเป็นคนยิงประตูตอกฝาโรงให้ทีม
“ปีศาจแดง”
เอาชนะอาร์เซน่อลไปได้ 2-0
ในฤดูกาล 2004-2005
ซึ่งทำให้อาร์เซน่อลหยุดสถิติไม่แพ้ใครไว้ที่
49 นัดเท่านั้น
แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาครองสถิติไร้พ่ายในลีกสูงสุดของอังกฤษได้ยาวนานทที่สุดมาจนถึงตอนนี้
เพราะลิเวอร์พูลก็ไม่สามารถทำลายสถิติของพวกเขาลงได้
แต่ว่าหลังจากนั้นมาอาร์เซน่อลก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกเลย
เพราะหลังจากนั้นก็กลายเป็นเชลซี
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
และแมนเชสเตอร์
ซิตี้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นอีกทีมใหญ่ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในช่วงก่อนหน้านี้
ส่วนอาร์เซน่อลนั้นก็ตกต่ำลงไปอยู่ในช่วงอันดับ
5-6
ของตารางมาหลายปีแล้วในช่วงหลังมานี้
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีที่อาร์เซน่อลจะสามารถกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง
Posted byadmin
2020-09-042020-09-05
Posted
inArsenal Tags:
Arsenal ,
อาร์เซน่อล
Leave
a comment on Arsenal 2003-2004
ตำนานแชมป์ไร้พ่าย
RECENT POSTS
* FC Porto ในยุครุ่งเรืองกับ
มูรินโญ่
* Tottenham Hotspur
เส้นทางสู่การเป็นท็อป 6
ของลีก
* Park Ji Sung ประวัติ Running Man
แห่งโสมขาว
* Jose Mourinho ยอดกุนซือ “The Special One”
* Chelsea
กับการยกระดับในยุคแรกของ
มูรินโญ่
* Mikel Arteta
ประวัติกุนซือคนปัจจุบันของ
“ปืนใหญ่”
* Thierry Henry ตำนานดาวเตะ
“ปืนใหญ่”
* Patrick Vieira
กองกลางพันธุ์ดุแห่งอาร์เซน่อล
* Arsene Wenger
กุนซือผู้สร้างตำนานให้
“ปืนใหญ่
* Arsenal 2003-2004
ตำนานแชมป์ไร้พ่าย
TAGS
Arsenal Arsene Wenger
Asenal
Chelsea
FC Porto
Jose Mourinho
Liverpool
Manchedter United
manchester
city manchester
united Mikel
Arteta Park Ji
Sung Patrick
Vieira Thierry
Henry Tottenham
Hotspur
ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
บาร์เซโลน่า
บาเยิร์น มิวนิค
มิเกล อาร์เตต้า
มูรินโญ่
ราดาเมล ฟัลเกา
สปอร์ติ้ง ลิสบอน
อาร์เซน่อล
อินเตอร์ มิลาน
ฮัล์ค
ฮาเมส โรดริเกซ
เชลซี
เธียร์รี่ อ็องรี
เบนฟิก้า
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
เรอัล มาดริด
เอฟซี ปอร์โต้
เอแดร์ มิลิตา
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
โชเซ่ มูรินโญ่
โอลิมปิก ลียง
ARCHIVES
* September 2020
CATEGORIES
* Arsenal
* Chelsea
* manchester united
* Tottenham Hotspur
* กุนซือ
* ผู้จัดการทีม
* มูรินโญ่
ผู้จัดการทีม ระดับท็อป
ของ ตารางบอล มีการ
วิเคราะห์บอล ทีเด็ด
ดูบอลอย่างไร
, Proudly powered by WordPress.
Source
Details
More Annotations

The Cup of Life - the best blog for tea lovers
Are you over 18 and want to see adult content?

Forums - One Team in Bristol - Bristol City Forums
Are you over 18 and want to see adult content?

Country That Rocks! - Fort Worth - Guitars and Cadillacs
Are you over 18 and want to see adult content?

Gustavo Castro - Diseño y creatividad
Are you over 18 and want to see adult content?

TwilaTee, On a Mission to Costume the World
Are you over 18 and want to see adult content?

Miecze Go-Now - Akademia Karate Anny Ranoszek - Wielkopolskie
Are you over 18 and want to see adult content?

Drag and Drop Responsive Website Builder - Online database
Are you over 18 and want to see adult content?